วันที่ปารีสสูญเสียหัวใจไปชิ้นหนึ่ง: การโจรกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2568 กลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปในหอ Galerie d'Apollon ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และขโมยเครื่องประดับอันล้ำค่า 8 ชิ้น ไปอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งชั่วโมงหลังพิพิธภัณฑ์เพิ่งเปิดทำการ ขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังทยอยเข้ามา ระบบรักษาความปลอดภัยถูกหลอกให้ขัดข้องชั่วคราว กระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศสออกมายืนยันทันทีว่าสมบัติเหล่านี้มีมูลค่าทางประวัติศาสตร์สูงเหลือคณา ไม่อาจประเมินเป็นตัวเงินได้
แต่ที่สำคัญกว่ามูลค่าทางการเงิน คือความสูญเสียทางจิตใจที่ชาวปารีสและชาวฝรั่งเศสต้องเผชิญ เครื่องประดับแต่ละชิ้นไม่ใช่แค่โลหะและอัญมณี แต่คือเสี้ยวหนึ่งของหัวใจชาติที่เชื่อมโยงกับความทรงจำ ความภาคภูมิใจ และอัตลักษณ์ของคนฝรั่งเศสทั้งประเทศ
เครื่องประดับที่สูญหายและคุณค่าที่ไม่อาจวัดได้
1. เทียราของจักรพรรดินีเออเจนี - สัญลักษณ์แห่งความรักและความอดทน
เทียราประดับไข่มุก 212 เม็ดและเพชร 1,998 เม็ด สร้างโดยอเล็กซานเดร-กาเบรียล เลม็อนนีเยร์ ราวปี 1853 ตามพระประสงค์ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เพื่อฉลองการเสกสมรสกับจักรพรรดินีเออเจนี เดอ มอนติโฆชิ้นนี้ผ่านมือเจ้าของมากมาย จากจักรพรรดินีมารี-หลุยส์ไปสู่ดัชเชสแห่งอังกูเล็ม จนกระทั่งถูกขายในปี 1887 และตกทอดสู่ตระกูลธูร์นและแท็กซิสเป็นเวลาเกือบศตวรรษ เจ้าหญิงโกลเรียสวมมันในวันแต่งงานกับเจ้าชายโยฮันเนส แต่เมื่อสามีเสียชีวิตพร้อมทิ้งหนี้สินไว้ เธอต้องขายเทียราที่เต็มไปด้วยความทรงจำในราคา 935,000 มาร์กเยอรมัน
สมาคมเพื่อนลูฟวร์ซื้อมันมอบให้พิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เทียราที่ผ่านความรัก ความสุข และความสูญเสียมามากมายได้กลับบ้าน สำหรับชาวฝรั่งเศส เทียรานี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าแม้ราชวงศ์จะล่มสลาย แต่ความงดงามและคุณค่าของมันยังคงอยู่ตลอดกาล
2. เทียราแซฟไฟร์ของราชินีมารี-อาเมลี - เสี้ยวแห่งความหวังหลังสงคราม
เทียราแซฟไฟร์คีลอนสีน้ำเงินเข้มจากศรีลังกาที่ประดับเพชร เป็นส่วนหนึ่งของเซ็ตที่เคยเป็นของราชินีฮอร์แต็งส์ ธิดาบุญธรรมของจักรพรรดินโปเลียน ก่อนถูกขายให้พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ในปี 1821 เพื่อมอบให้ราชินีมารี-อาเมลี
เทียรานี้สะท้อนความฟื้นฟูของฝรั่งเศสหลังสงครามนโปเลียนที่ทำลายล้างทวีปยุโรป มันเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นใหม่ในยุคที่ชาติพยายามลืมความขมขื่นและสร้างอนาคต สำหรับคนรุ่นใหม่ การได้เห็นเทียรานี้ในลูฟวร์เปรียบเหมือนการสัมผัสถึงความเข้มแข็งของบรรพบุรุษที่ลุกขึ้นมาสร้างชาติอีกครั้ง
พิพิธภัณฑ์ซื้อมันไว้ในปี 1985 ด้วยราคา 800,000 ดอลลาร์ เพราะเข้าใจดีว่าสมบัตินี้ไม่ใช่ของใครคนเดียว แต่เป็นของชาติทั้งชาติ
3. สร้อยคอแซฟไฟร์ - สายใยเชื่อมโยงสองราชินี
สร้อยคอที่ประดับแซฟไฟร์หลัก 9 เม็ดล้อมด้วยเพชรนับร้อย เป็นส่วนหนึ่งของเซ็ตเดียวกับเทียรา เชื่อมโยงเรื่องราวของราชินีสองพระองค์ - ฮอร์แต็งส์และมารี-อาเมลี - ข้ามยุคสมัยจากจักรวรรดินโปเลียนสู่ราชอาณาจักรจูเลียน
มันเป็นมากกว่าเครื่องประดับ แต่เป็นสายใยที่เชื่อมโยงความทรงจำของผู้คนสองชั่วอายุคน เมื่อมองมัน คนฝรั่งเศสเห็นไม่เพียงความงดงาม แต่เห็นภาพของราชินีที่เข้มแข็งท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง เห็นความสง่างามที่ประเทศเคยมี และความภูมิใจที่พวกเขายังสืบทอดมาจนถึงวันนี้
4. สร้อยคอมรกตแห่งสันติภาพ
สร้อยคอมรกต 32 เม็ดจากโคลอมเบียประดับเพชร 1,138 เม็ด ที่จักรพรรดินโปเลียนมอบให้มารี-หลุยส์แห่งออสเตรียในวันแต่งงานปี 1810 ไม่ใช่แค่ของขวัญรัก แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังว่าการสมรสนี้จะนำสันติภาพมาสู่ยุโรป
แม้สันติภาพนั้นจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ แต่สร้อยคอนี้เตือนใจชาวฝรั่งเศสว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเคยฝันถึงโลกที่ปราศจากสงคราม มันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแม้ในยุคที่นโปเลียนพิชิตทวีป เขาก็ยังแสวงหาหนทางสันติ สร้อยคอนี้จึงมีคุณค่าทางจิตใจอย่างล้นพ้น เพราะมันเชื่อมโยงกับความฝันอันสูงส่งของมนุษยชาติ
5. ต่างหูข้างเดียวที่เล่าเรื่องไม่จบ
ต่างหูแซฟไฟร์เม็ดใหญ่ล้อมเพชรเพียงข้างเดียว ที่เคยเป็นของราชินีฮอร์แต็งส์แล้วตกทอดมาสู่ราชินีมารี-อาเมลี อาจดูไม่สมบูรณ์เพราะมีเพียงข้างเดียว แต่นั่นกลับทำให้มันพิเศษ
มันเป็นเหมือนเรื่องราวที่ยังไม่จบ เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ อีกข้างหนึ่งหายไปไหน? ใครเป็นคนสวม? มันผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง? ความไม่สมบูรณ์นี้กลับทำให้จินตนาการของผู้คนลุกโชน และทำให้มันมีคุณค่าในใจคนฝรั่งเศสมากกว่าต่างหูคู่ที่สมบูรณ์แบบ
6. คู่ต่างหูมรกตแห่งการทูต
ต่างหูมรกตประดับเพชรและไข่มุกจากเซ็ตแต่งงานปี 1810 เป็นผลงานของนิโตต์ที่สะท้อนศิลปะนโปเลียน มันไม่ได้ถูกสร้างเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกับออสเตรีย
ต่างหูคู่นี้เตือนใจว่าบางครั้งความงดงามสามารถหยุดการนองเลือดได้ มันสอนคนรุ่นใหม่ว่าการทูตและความสง่างามอาจทรงพลังกว่าดาบและปืน สำหรับชาวฝรั่งเศสที่ผ่านสงครามโลกมาสองครั้ง ต่างหูคู่นี้มีความหมายพิเศษ - มันคือความหวังว่าความสง่างามและปัญญาจะเอาชนะความรุนแรงได้เสมอ
7. เข็มกลัดเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ - ศรัทธาในเวลามืดมน
เข็มกลัดเพชรที่มีช่องใส่เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ สร้างโดยอัลเฟรด บาปสต์ให้จักรพรรดินีเออเจนีในปี 1855 สะท้อนด้านศาสนาของพระองค์ท่ามกลางโลกการเมืองที่โหดร้าย
ในยุคที่อำนาจและความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เข็มกลัดนี้เตือนใจว่าจักรพรรดินียังคงยึดมั่นในศรัทธา มันแสดงให้เห็นมิติความเป็นมนุษย์ของผู้ปกครองที่ท่ามกลางความโอ่อ่าตระการ ยังต้องการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนคนธรรมดา สำหรับชาวฝรั่งเศสที่ส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก เข็มกลัดนี้เชื่อมโยงพวกเขากับราชินีในระดับจิตวิญญาณ ทำให้รู้สึกว่าแม้จะแตกต่างกันเรื่องชนชั้น แต่ศรัทธาทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
8. เข็มกลัดโบว์เพชร - ความภาคภูมิใจแห่งชาติ
เข็มกลัดโบว์เพชรกว่า 4,000 เม็ดที่ฟร็องซัวส์ คราเมอร์สร้างขึ้นในปี 1855 เดิมเป็นส่วนกลางของเข็มขัดราชินี จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 มอบให้จักรพรรดินีเออเจนีเพื่อสวมในงาน Exposition Universelle ที่ปารีส
งานนี้เป็นมหกรรมโลกที่ฝรั่งเศสต้องการโชว์ความยิ่งใหญ่ให้โลกเห็น และเข็มกลัดนี้คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจนั้น พิพิธภัณฑ์
ลูฟวร์ซื้อมันในปี 2008 ด้วยราคาสูงถึง 6.72 ล้านยูโร ไม่ใช่เพราะราคา แต่เพราะมันเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของโลก
เมื่อมองเข็มกลัดนี้ ชาวฝรั่งเศสจะนึกถึงยุคทองของชาติ นึกถึงความรุ่งโรจน์ที่เคยมี และรู้สึกภูมิใจในมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ มันเป็นมากกว่าเพชร – มันคือจิตวิญญาณของชาติที่ถูกหล่อหลอมเป็นรูปธรรม
ความสูญเสียที่ไม่มีวันชดเชย
การหายไปของเครื่องประดับทั้ง 8 ชิ้นไม่ใช่แค่การสูญเสียทรัพย์สิน แต่เป็นการสูญเสียส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาติ แต่ละชิ้นเชื่อมโยงชาวฝรั่งเศสกับอดีตที่พวกเขาภูมิใจ เตือนใจพวกเขาว่ามาจากไหน และทำให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวยาวนานที่ยิ่งใหญ่ บางทีมูลค่าที่แท้จริงของเครื่องประดับเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ความรู้สึกที่มันให้กับผู้คน - ความภาคภูมิใจ ความหวัง ความเชื่อมโยง และความทรงจำ เมื่อมันหายไป สิ่งที่หายไปด้วยคือชิ้นส่วนเล็กๆ ของหัวใจชาติที่ไม่มีทางซื้อคืนได้ด้วยเงินเท่าไหร่ก็ตาม
ขอบพระคุณรูปภาพจาก : via Zuma Press